เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2564 เวลา 14.00 น. ณ อาคารสนามกีฬากลางเทศบาลตำบลแหลมฟ้าผ่า “ศูนย์พักคอยรอเตียงใกล้บ้านใกล้ใจ” (ศูนย์พักคอยรอกลับบ้าน) เทศบาลตำบลแหลมฟ้าผ่า จ.สมุทรปราการ ดร.ภัทร์ หนังสือ ประธานกรรมการเวชกรโอสถ พร้อมด้วย พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย นางพัชรวลัย รัตนศิริวัฒนา และทีมงานเวชกรโอสถ นำยาเคอร่า จำนวน 400 กระปุก มาบริจาคให้กับเจ้าหน้าที่และทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ “ศูนย์พักคอยรอเตียงใกล้บ้านใกล้ใจ” (ศูนย์พักคอยรอกลับบ้าน) เทศบาลตำบลแหลมฟ้าผ่า โดยมีนายณรงค์ สุกใส ผู้ช่วยสาธารณสุขอำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมทีมงานบุคลากรทางการแพทย์เป็นตัวแทนรับมอบยาเคอร่า พร้อมทั้งอธิบายวิธีการใช้ยาโดยละเอียดให้กับตัวแทนเจ้าหน้าที่ฯ ได้รับทราบข้อมูล เพื่อนำไปใช้ยับยั้งอาการของโรคติดเชื้อไวรัสให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่และนำไปให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อและกักตัวอยู่ในศูนย์พักคอยแห่งนี้ได้รับประทานในการป้องกันไวรัส
ดร.ภัทรฯ ยังได้อธิบายถึงประวัติความเป็นมาและคุณสมบัติของยาเคอร่าที่นำมามอบให้ในครั้งนี้ ว่าเป็นยาตำรับสมุนไพร ที่ใช้สมุนไพรที่มีส่วนผสมหลัก 9 ชนิด ซึ่งแต่ดั้งเดิมเรียกว่าคัมภีร์ตักศิลา อยู่ในคัมภีร์แพทย์ศาสตร์ฉบับหลวง พิมพ์ตั้งแต่ปี 2440 ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยได้นำตำรับยา ในแพทย์ศาสตร์ฉบับหลวง เดิมชื่อยาครอบไข้ตักศิลา ในคัมภีร์ตักศิลา ตัวยาครอบไข้ตักศิลานี้ ทางบริษัทฯ ได้นำมาพัฒนาปรับเปลี่ยนตัวยาให้เหมาะสมกับการจัดหาตัวยาในปัจจุบัน รวมทั้งได้พัฒนากรรมวิธีการผลิต โดยใช้ความร้อนและความเย็นในการสกัดและเพิ่มประสิทธิภาพของตัวยาให้สูงขึ้น จนมีผลทำให้ยับยั้งไวรัส
ดร.ภัทรฯ กล่าวต่อ ซึ่งผลการวิจัยในห้องทดลองของห้องปฏิบัติการชีวเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยืนยันถึงผลและประสิทธิภาพในการยับยั้งไวรัส ในขณะกันถ้าเทียบกับยาฟ้าทลายโจร ฟ้าทลายโจรมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่เป็นกลไกหลักในการขยายตัวของไวรัสที่ชื่อ Main protease ตัวฟ้าทลายโจรมีฤทธิ์ยับยั้งได้ระดับหนึ่ง แต่ในขณะที่นำยาเคอร่าไปเทียบฤทธิ์ยากับฟ้าทลายโจร ในการยับยั้ง Main protease ปรากฎว่ายาเคอร่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งเอนไซม์ Main protease มากกว่าหรือสูงกว่าฟ้าทะลายโจรถึง 2,200 เท่า ขณะที่เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าที่ทราบกันว่า สามารถขยายตัวได้เร็วกว่าสายพันธุ์เบต้าเป็น 1,000 เท่า อย่างเช่นถ้าเรารับเชื้อเข้ามา เชื้อจะขยายตัวได้เร็วมาก ช่วงแรกคนที่รับเชื้อเข้ามาจะใช้เวลา 7-10 วัน จึงจะออกอาการลงปอด แต่ภายหลังทราบว่าสายพันธุ์เดลต้า 3-5 วัน จะลงปอดได้รวดเร็ว เพราะฉะนั้นสายพันธุ์เดลต้าขยายตัวเร็วมาก ก็ต้องมีตัวยาชนิดหนึ่งที่จะมาสกัดการขยายตัวของเชื้อไวรัสไม่ให้ขยายตัวในร่างกายได้เร็วเกินไป จนทำให้เกิดภาวะที่เป็นอันตราย ลุกลามจนต้องใส่ท่อออกซิเจน ซึ่งค่อนข้างเป็นอันตราย จนทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตขึ้นได้
ดร.ภัทร์ฯ กล่าวอีกว่า วัตถุประสงค์การนำยาเคอร่ามามอบในครั้งนี้ ทางเวชกรโอสถในฐานะที่เป็นองค์กรเล็กๆ พยายามที่จะช่วยหน่วยงานต่างๆ เพื่อที่จะสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ป่วยและพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด เนื่องจากเราคิดว่าถ้าคนในครอบครัวซึ่งอยู่รวมกันหลายคน เกิดการสูญเสียคนในครอบครัว อนาคตอาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ในสังคมตามมา ทางเวชกรโอสถจึงพยายามที่จะหยุดการสูญเสีย ด้วยการนำยามาช่วยกับหลายๆ หน่วยงานในลักษณะนี้
ดร.ภัทร์ ยังได้ยกตัวอย่างงานวิจัยในหลอดทดลอง เราพบว่าสารสกัดของยาเคอร่ามีฤทธิ์ยับยั้งได้ดีกว่าฟ้าทลายโจร 2,200 เท่า ทำให้ยาเคอร่าค่อนข้างจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าฟ้าทลายโจรมาก ฉะนั้นยาเคอร่าจจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนำไปใช้ให้คนป่วยที่ติดเชื้อไวรัสที่อยู่ในศูนย์พักคอยแห่งนี้ ด้วยเหตุผลที่ตัวยาเคอร่าเป็นยายับยั้งเชื้อไวรัส คนไข้จะมีโอกาสปลอดภัย มีอาการลุกลามน้อยกว่าหรืออย่างน้อย คนไข้ที่ได้รับยาเคอร่าตั้งแต่ช่วงต้นๆ สมมุติว่าเราติดเชื้อมีอาการไข้ ไอเล็กน้อย ยังไม่มีอาการลงปอด ส่วนใหญ่อาการจะไม่ลุกลาม อาการจะดีขึ้นภายใน 5-7 วันตามลำดับ
ดร.ภัทร์ฯ ได้แนะนำวิธีการรับประทานยาเคอร่า สำหรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวและสีเหลือง รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 มื้อ 4 เวลา รับประทานก่อนอาหารอย่างน้อย 30 นาที ซึ่งยาเคอร่ามีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งไวรัสไม่ให้ขยายตัวในร่างกาย หลังจากนั้นร่างการจะสร้างภูมิขึ้นมาเพื่อทำลายไวรัสที่อยู่ในร่างกายให้หมดไป ส่วนใหญ่ผู้ที่ใช้ยานี้จะปลอดภัยและค่อนข้างได้ผลดีมาก
สำหรับวิธีการรับประทาน มีข้อสำคัญอย่างหนึ่งว่า ต้องให้คนไข้กัด/เคี้ยวเม็ดยาให้แตก ก่อนที่จะกลืน เนื่องจากตัวยามีฤทธิ์ยับยั้งไวรัส ตรงบริเวณหายใจส่วนบนจะเป็นบริเวณที่ไวรัสเกาะเข้าไปสู่เซลล์แล้วขยายตัวบริเวณทาางเดินลมหายใจส่วนบนเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นคนไข้ที่ติดเชื้อไวรัส-19
การรับประทานยาสำหรับเด็กตั้งแต่แรกที่ติดเชื้อรับประทาน ให้แกะผงยาเคอร่าออกจากแคปซูล 1-3 แคปซูล แล้วเติมน้ำต้มสุกหยอดลงไป 1 ช้อนชาแล้วกวนให้เข้ากัน จากนั้นก็ตักเป็นก้อนรับประทานหรือกวาดคอแบบโบราณ (ใช้เป็นยากวาด) ซึ่งเด็กจะมีปฏิกิริยาตอบกลับได้ดีกว่าผู้ใหญ่หลังจากที่ได้รับประทานยานี้เข้าไป นายณรงค์ฯ กล่าวถามเพิ่มเติมถึงวิธีการรับประทานยาสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี
ดร.ภัทร์ฯ กล่าวตอบว่า สำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี ให้รับประทานวันละ 4 แคปซูล โดยแกะแคปซูลออกมา 4 แคปซูล ใช้ช้อนตักรับประทาน ทุก 2-3 ชั่วโมงต่อครั้ง ทานไปเรื่อยๆ ทั้งวันจนหมด
ยาตัวนี้มีความปลอดภัยสูงมาก จากที่ทำวิจัยในเซลล์ตับ คนเราจะต้องทานมื้อละ 2,000 แคปซูล จึงจะเริ่มมีพิษกับเซลล์ตับเล็กน้อย เพราะฉะนั้นเราทานวันละ 4-10 แคปซูล ไม่มีผลต่อตับและการทำงานของไตใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งบุคลากรซึ่งอยู่กับผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดสามารถรับประทานวันละ 4 แคปซูล โดยทานก่อนนอน 2 แคปซูลและก่อนอาหารมื้อเช้า 2 แคปซูล ก่อนออกมาปฎิบัติหน้าที่ เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสและไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
รถเมล ประชาไทนิวส์ออนไลน์